วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
กลอนวันพ่อ
กลอนแปด...วันพ่อ By Ampearพระคุณพ่อล้ำฟ้ามหาสมุทร เปรียบประดุจภูผาอันสูงใหญ่ รักของพ่อแน่แท้กว่าสิ่งใด ไม่ห่างไกลพ่อเราเฝ้าดูแล คอยกล่อมเกลี้ยงอบรมบรมนิสัย เฝ้าห่วงใยตักเตือนไม่เชื้อนแช ยามลูกเจ็บพ่อเจ็บถึงดวงแด เฝ้าดูแลลูกยาเอื้ออาทร ในวันนั้นที่ฉันมีความทุกข์ พ่อคอยปลุกปลอบใจให้หายหมอง ลูกร้องไห้พ่อคอยกอดประคอง นวลละอองลูกยาอย่าเสียใจ มาวันนี้ลูกพ่อได้เติบใหญ่ ก้าวต่อไปภายหน้าอย่างสดใส เพราะความรักของพ่อเหนือสิ่งใด ลูกภูมิใจรักพ่อสุดพรรณนา ขอขอบคุณ กลอนวันพ่อ จาก : http://poem.meemodel.com/father/55782.html โดยคุณ Ampear |
กลอนรักพ่อขอกราบเท้า คุณพ่อ ที่เคารพ ขอน้อมนพ ในพระคุณ ที่ใหญ่หลวง เรื่องชิวิต ลูกนั้น อยู่ที่ดวง พ่ออย่าห่วง ว่าลูก ไม่สุขพลัน ตัวพ่อนั้น ตรากตรำ ทำงานหนัก เพื่อลูกรัก พ่อทำ ทุกสิ่งหน ลูกยกให้ พ่อนั้น เป็นยอดคน เป็นผู้ทน ผู้แทน จากดวงใจ พ่อหาให้ ทุกสิ่ง ที่ลูกขอ ไม่รีรอ ขอมา พ่อจัดสรร ทำงานหนัก พักน้อย ทำทุกวัน เพื่อลูกนั้น พ่อทำ จนสุดใจ ไม่มีใคร เก่งไซร้ เกินกว่าพ่อ ลูกไม่ขอ พ่อนั้น ก็มอบให้ มอบความรัก ที่พัก มอบด้วยใจ ไม่มีใคร ดีไซร้ เกินพ่อเอย ลูกไม่เคย ทำสิ่งไหน ให้พ่อนั้น ต้องผูกพัน ภูมิใจ ไปมากหลาย หลายครั้งผิด ลูกคิด ลูกเสียดาย แต่สุดท้าย พ่อนั้น ให้อภัย บอกครั้งนี้ บอกที มีความหมาย ลูกเสียดาย เรื่องการเรียน ลูกผิดหวัง แม้ลูกนั้น พยายาม สักกี่ครั้ง ก็หมดหวัง เพราะมัน ช่างไกลเกิน ลูกนั้นอยาก เดินตาม ที่วางไว้ อาจทำให้ พ่อนั้น ต้องผิดหวัง เรื่องการเรียน ลูกนั้น อาจพลาดพลั้ง ทำให้พ่อ ผิดหวัง ไม่สมใจ ขอพ่อจง ยกโทษ ลูกคนนี้ ขออย่ามี โมโห หรือโทสัน ลูกนั้นผิด ลูกคิด อยู่ทุกวัน ให้พ่อนั้น ผิดหวัง หรือเสียใจ แม้ทางเดิน ของลูก ในตอนนี้ อาจไม่มี ความยาว เหมือนใครเขา เพื่อลูกนี้ ขอพ่อจง อย่าได้เศร้า ยังมีเงา ลูกยัง ฟันฝ่าไป ขอพ่อจง อวยชัย ลูกคนนี้ แม้ไม่ดี เหมือนคน อื่นใครเขา ไม่สำเร็จ ดังพ่อหวัง ในตัวเรา ดูใครเขา เรียนจบ เป็นนายคน แต่ใจลูก ไม่เพียง แต่อย่างนั้น มีความฝัน ที่ลูก ต้องค้นหา หนทางเดิน ที่ลูก ขอเวลา ในไม่ช้า ลูกคง ได้พบเจอ ขอพ่อจง เชื่อมั่น ในตัวลูก ที่พันผูก อบรม บ่มนิสัย หนทางเดิน ลูกนั้น ยังยาวไกล ขอพ่อเป็น กำลังใจ เพื่อลูกเอย แค่เรื่องเดียว ที่ลูก บอกพ่อไว้ ขอเชื่อใจ ว่าลูก จะไปถึง ลูกจะทำ ให้พ่อเห็น ในวันนึง ต้องไปถึง ความฝัน สักวันเอย |
กลอนแปด...วันพ่อ By Ampearพระคุณพ่อล้ำฟ้ามหาสมุทร เปรียบประดุจภูผาอันสูงใหญ่ รักของพ่อแน่แท้กว่าสิ่งใด ไม่ห่างไกลพ่อเราเฝ้าดูแล คอยกล่อมเกลี้ยงอบรมบรมนิสัย เฝ้าห่วงใยตักเตือนไม่เชื้อนแช ยามลูกเจ็บพ่อเจ็บถึงดวงแด เฝ้าดูแลลูกยาเอื้ออาทร ในวันนั้นที่ฉันมีความทุกข์ พ่อคอยปลุกปลอบใจให้หายหมอง ลูกร้องไห้พ่อคอยกอดประคอง นวลละอองลูกยาอย่าเสียใจ มาวันนี้ลูกพ่อได้เติบใหญ่ ก้าวต่อไปภายหน้าอย่างสดใส เพราะความรักของพ่อเหนือสิ่งใด ลูกภูมิใจรักพ่อสุดพรรณนา ขอขอบคุณ กลอนวันพ่อ จาก : http://poem.meemodel.com/father/55782.html โดยคุณ Ampear |
กลอนรักพ่อขอกราบเท้า คุณพ่อ ที่เคารพ ขอน้อมนพ ในพระคุณ ที่ใหญ่หลวง เรื่องชิวิต ลูกนั้น อยู่ที่ดวง พ่ออย่าห่วง ว่าลูก ไม่สุขพลัน ตัวพ่อนั้น ตรากตรำ ทำงานหนัก เพื่อลูกรัก พ่อทำ ทุกสิ่งหน ลูกยกให้ พ่อนั้น เป็นยอดคน เป็นผู้ทน ผู้แทน จากดวงใจ พ่อหาให้ ทุกสิ่ง ที่ลูกขอ ไม่รีรอ ขอมา พ่อจัดสรร ทำงานหนัก พักน้อย ทำทุกวัน เพื่อลูกนั้น พ่อทำ จนสุดใจ ไม่มีใคร เก่งไซร้ เกินกว่าพ่อ ลูกไม่ขอ พ่อนั้น ก็มอบให้ มอบความรัก ที่พัก มอบด้วยใจ ไม่มีใคร ดีไซร้ เกินพ่อเอย ลูกไม่เคย ทำสิ่งไหน ให้พ่อนั้น ต้องผูกพัน ภูมิใจ ไปมากหลาย หลายครั้งผิด ลูกคิด ลูกเสียดาย แต่สุดท้าย พ่อนั้น ให้อภัย บอกครั้งนี้ บอกที มีความหมาย ลูกเสียดาย เรื่องการเรียน ลูกผิดหวัง แม้ลูกนั้น พยายาม สักกี่ครั้ง ก็หมดหวัง เพราะมัน ช่างไกลเกิน ลูกนั้นอยาก เดินตาม ที่วางไว้ อาจทำให้ พ่อนั้น ต้องผิดหวัง เรื่องการเรียน ลูกนั้น อาจพลาดพลั้ง ทำให้พ่อ ผิดหวัง ไม่สมใจ ขอพ่อจง ยกโทษ ลูกคนนี้ ขออย่ามี โมโห หรือโทสัน ลูกนั้นผิด ลูกคิด อยู่ทุกวัน ให้พ่อนั้น ผิดหวัง หรือเสียใจ แม้ทางเดิน ของลูก ในตอนนี้ อาจไม่มี ความยาว เหมือนใครเขา เพื่อลูกนี้ ขอพ่อจง อย่าได้เศร้า ยังมีเงา ลูกยัง ฟันฝ่าไป ขอพ่อจง อวยชัย ลูกคนนี้ แม้ไม่ดี เหมือนคน อื่นใครเขา ไม่สำเร็จ ดังพ่อหวัง ในตัวเรา ดูใครเขา เรียนจบ เป็นนายคน แต่ใจลูก ไม่เพียง แต่อย่างนั้น มีความฝัน ที่ลูก ต้องค้นหา หนทางเดิน ที่ลูก ขอเวลา ในไม่ช้า ลูกคง ได้พบเจอ ขอพ่อจง เชื่อมั่น ในตัวลูก ที่พันผูก อบรม บ่มนิสัย หนทางเดิน ลูกนั้น ยังยาวไกล ขอพ่อเป็น กำลังใจ เพื่อลูกเอย แค่เรื่องเดียว ที่ลูก บอกพ่อไว้ ขอเชื่อใจ ว่าลูก จะไปถึง ลูกจะทำ ให้พ่อเห็น ในวันนึง ต้องไปถึง ความฝัน สักวันเอย |
กลอนวันพ่อ
คำสอนพ่อ
คำสอนพ่อกลั่นมาจากรัก
คำสอนพ่อประจักษ์ให้เห็น
คำสอนพ่อสอนเราเช้าเย็น
คำสอนพ่อหวังเห็นเราทำดี
ขอขอบคุณ กลอนวันพ่อ จาก : http://poem.meemodel.com/father/55036.html
โดยคุณ Spirit2
โดยคุณ Spirit2
เกษตรธรรมชาติ เชื้อราขาว จาก ต้นไผ่
หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า ประเทศหลังม่านไม้ไผ่เมื่อเปิดเข้าไปข้างหลังม่านไม้ไผ่เราก็ จะพบกับประเทศจีนประเทศที่มีประเพณี วัฒนธรรม ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอันมาก ซึ่งครั้งนี้เราจะได้นำเกล็ดเกี่ยวกับต้นไผ่มาฝาก จะเห็นได้ว่าต้นไผ่นี้ชาวจีนนิยมปลูกกันมาก จนฝรั่งกล่าวว่าไผ่เป็นมิตรของชาวจีน ต้นไผ่มีอยู่หลายชนิดบางชนิดลำต้นมีลาย จึงมีนิทานเล่าว่า ลำข้อที่ลายเกิดขึ้นจากน้ำตาของพระมเหสี 2 องค์ของฮ่องเต้ซุน ที่ร่ำไห้เสียใจที่ฮ่องเต้ได้สิ้นพระชนม์ลง และน้ำตามาติดที่ข้อไผ่จนเกิดเป็นลาย บางชนิดบางต้นเป็นสีเขียวเรียบ ส่วนขนาด ของลำต้นนั้นมีความสูงตั้งแต่ 2-3 ฟุต ไปจนถึง 20-30 ฟุต ส่วนมากจะนิยมปลูกทางใต้ของประเทศจีน แต่ต่อมาได้นำมาปลูกทางเหนือด้วย ต้นไผ่นี้ชาวจีนถือว่าเป็นต้นไม้ของนักปราชญ์ ไผ่มีความหมายในทางสัญลักษณ์คือ ตัวลำต้นเป็นข้อแข็งแกร่งคงทนจีนเรียกว่า " เจี๊ย" หมายถึงคนมีข้อ คือคนที่ข้างในของไผ่จะกลวง ถ้าเปรียบกับคน ก็เปรียบเสมือนคนใจกว้างยอมรับความคิดเห็นและคำแนะนำของผู้อื่น ชอบหาความรู้เพิ่มเติม ส่วนใบเขียวของไผ่มีความแข็งแรงทนได้ทุกสภาวการณ์ไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว จึงเป็นเหตุให้เหล่า เสนาธิการหรือกุนซือของกองทัพจีนนิยมมีเข็มกลัดเป็นรูปข้อไผ่ติดบนหน้าอก ซึ่งเป็น สัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง ความมีปัญญา ความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์และความกตัญญู ในเมืองไทยที่เห็นปลูกไผ่นั้นส่วนมากนิยมปลูกเพื่อการตกแต่งบ้านให้ร่มเงา หรือนำเอาส่วนต่างๆ ของต้นไผ่มาทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่งต่างๆ แต่ถ้าเราจะเอาแบบอย่างของความหมายทาง สัญลักษณ์ของต้นไผ่มาใช้ในชิวิตประจำวัน ก็คิดว่าสังคมไทยคงจะน่าอยู่มากกว่านี้มีหลักการไม่ลู่ตามลม
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ทอฟฟี่มะละกอ
ทอฟฟี่มะละกอ
มะละกอเป็นพืชเศรษฐกิจ มีลำต้นสูง ก้านยาว ใบใหญ่หยัก ผลของมะละกอทานได้ทั้งดิบและสุก มะละกอดิบนำมาแกงส้ม แกงคั่ว ส้มตำ รับประทานกับขนมจีน ผลสุกรับประทานเป็นผลไม้ ทำแยม ผลไม้กวน ผลมะละกอมีวิตามินเอ วิตามินซีสูง มีฟอสฟอรัส กากใย เป็นยาระบายอย่างดี ช่วยในระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ
- ส่วนผสม
1.มะละกอสุกบดละเอียด | 4 | ถ้วยตวง |
2.น้ำตาลทราย | 2 ½ | ถ้วยตวง |
3.น้ำมะนาว | 4 | ช้อนโต๊ะ |
4.เกลือ | 2 | ช้อนชา |
5.น้ำมันพืช | 1 | ช้อนโต๊ะ |
6.แบะแซ | 1/3 | ถ้วยตวง |
- วิธีทำ
1.นำมะละกอต้มกับน้ำมะนาวในหม้อเคลือบด้วยไฟแรง แล้วค่อย ๆ ลดไฟให้อ่อนลง ใส่น้ำมันพืช
2.ใส่น้ำตาลทรายลงในหม้อกวน ใส่ทีละน้อยลงกวน กวนจนกระทั่งร่อน จึงยกลงมาเทใส่ถาดที่ทาน้ำมันพืช แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ห่อด้วยกระดาษแก้ว เป็นทอฟฟี่มะละกอ
2.ใส่น้ำตาลทรายลงในหม้อกวน ใส่ทีละน้อยลงกวน กวนจนกระทั่งร่อน จึงยกลงมาเทใส่ถาดที่ทาน้ำมันพืช แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ห่อด้วยกระดาษแก้ว เป็นทอฟฟี่มะละกอ
วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ก๊าซแพง เกษตรกรพะเยา ผลิตก๊าซชีวภาพใช้เอง
ก๊าซแพง เกษตรกรพะเยา ผลิตก๊าซชีวภาพใช้เอง
เชื้อเพลิงที่เราใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่ก็คือ ก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซแอลพีจี เป็นก๊าซที่ได้จากธรรมชาติ เป็นผลผลิตจากปิโตรเคมี ที่เราทราบกันดีแล้วว่าเริ่มขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ประเทศไทยจะมีแหล่งก๊าซธรรมชาติของเราเอง แต่ก็มีอยู่ไม่มาก ทุกวันนี้เราเองต้องสั่งซื้อก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาใช้กันแล้ว สภาวการณ์เช่นนี้ ก๊าซชีวภาพน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางหนึ่ง ที่เราน่าจะเริ่มนำมาใช้กันอย่างจริงจัง นับแต่วันนี้ เพราะสามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในการหุงต้มแทนก๊าซแอลพีจี ได้อย่างสบาย
ก๊าซชีวภาพที่ผลิตขึ้นจากการหมักมูลสัตว์ มูลคน และขยะเหลือทิ้งที่ย่อยสลายได้จากครัวเรือนและชุมชน โดยการหมักในสภาพแวดล้อม เช่น ถังหมักหรือบ่อที่ไร้อากาศ จุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะเปลี่ยนอินทรียวัตถุเหล่านี้ให้กลายเป็น ก๊าซชีวภาพที่มีคุณสมบัติติดไฟ สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานให้ความร้อน ใช้หุงต้ม ให้แสงสว่าง หรือใช้เดินเครื่องจักรเครื่องยนต์ได้
ส่วนใหญ่การทำบ่อหมักก๊าซชีวภาพของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ก็เพื่อแก้ปัญหามูลสัตว์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งกลิ่นเหม็น และส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม ได้ก๊าซชีวภาพเป็นผลพลอยได้ ในปัจจุบันก๊าซธรรมชาติกำลังขาดแคลนและมีราคาสูง ก๊าซชีวภาพจึงน่าจะกลับมามีบทบาทที่สำคัญในการแก้ปัญหาในเรื่องพลังงาน ถังหมักหรือบ่อหมักก๊าซชีวภาพมีหลายรูปแบบ และหลายขนาด ตั้งแต่ถังขนาดเล็กที่สามารถทำใช้เองในครัวเรือน ไปจนถึงบ่อถาวรขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นใช้ในชุมชน แต่ที่สำคัญเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพนี้มีข้อดีที่ทุกคนสามารถทำขึ้นใช้เอง ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น รวมทั้งแก้ไขปัญหาขยะที่มีมากขึ้นจนเป็นปัญหาให้ลดลง จึงช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมไปในตัว รวมทั้งได้ผลพลอยได้ที่เป็นปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพที่สามารถนำไปใช้เป็น ปุ๋ยปลูกพืชปลอดสารเคมีได้เป็นอย่างดี
คุณลุงเสาร์แก้ว ใจบาล อยู่บ้านเลขที่ 139 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมืองพะเยา และ คุณลุงเจริญ คำโล อยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่บ้านเดียวกัน อ่านเจอจากหนังสือ ก็ใคร่ครวญตรึกตรองกันอยู่นาน คิดอยู่ว่ามันจะเกิดก๊าซจริงหรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย ไม่ลองก็ไม่รู้ เลยตัดสินใจชวนกันทำดู ไปซื้อวัสดุ ซึ่งประกอบไปด้วย
ส่วนประกอบของถังหมักและถังเก็บก๊าซชีวภาพ
ถังพลาสติคปิดฝา ขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ใบ ทำหน้าที่ในการบรรจุมูลสัตว์และเศษอาหารเพื่อย่อยสลายจนเกิดก๊าซ โดยมีช่องใส่วัตถุดิบ ท่อน้ำล้นเพื่อควบคุมปริมาตรภายใน และท่อระบาย ด้านบนจะมีสายยางต่อเพื่อลำเลียงก๊าซที่ผลิตได้ไปสู่ถังเก็บ
ถังพลาสติคเปิดฝาบน ขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ใบ เป็นถังเก็บก๊าซถังหงาย โดยจะตั้งหงายเพื่อบรรจุน้ำสำหรับเป็นตัวกันไม่ให้ก๊าซรั่วออกนอกถังเก็บ ถังจะตั้งหงายเพื่อให้ถังใบเล็กอีกถังครอบ ในส่วนของคุณลุงเสาร์แก้ว ดัดแปลงใช้วงบ่อซีเมนต์ ขนาด 80 เซนติเมตร 2 วง ฉาบปูนแทน
ถังพลาสติคเปิดฝาบน ขนาด 120 ลิตร จำนวน 1 ใบ เป็นถังเก็บก๊าซถังคว่ำ โดยจะตั้งคว่ำลงภายในถังเก็บก๊าซ ขนาด 200 ลิตร หรือวงบ่อที่ใส่น้ำ ทำหน้าที่เป็นตัวกักก๊าซไว้โดยตัวถังจะลอยขึ้นเมื่อก๊าซถูกลำเลียงมาจากถัง หมัก ด้านบนจะมีท่อลำเลียงก๊าซไปจุดใช้งานต่อไป ก่อนจะเริ่มใช้งานให้ใส่น้ำลงไปในถังใบที่ 2 ถังเก็บก๊าซถังหงายให้เต็ม แล้วสวมถังใบที่ 3 หรือถังเก็บก๊าซถังคว่ำลงในถังใบที่ 2 ให้จมลงไปในน้ำพอดีก้นถัง ต่อสายยางจากถังหมักมายังถังเก็บก๊าซ และต่อสายยางจากถังเก็บก๊าซไปยังเตาแก๊สเพื่อไว้ใช้งานต่อไป
ส่วนประกอบสำหรับท่อน้ำล้นและท่อระบายของถังหมักก๊าชชีวภาพ
ข้อต่อเกลียวนอก ขนาด 1 นิ้ว 1 อัน
ข้องอเกลียวใน ขนาด 1 นิ้ว
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดยาว 2 นิ้ว 1 อัน
3 ทาง ขนาด 1 นิ้ว 2 อัน
ฝาปิดพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว 1 อัน
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดประมาณ 40 เซนติเมตร 1 อัน
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดประมาณ 30 เซนติเมตร 1 อัน
ส่วนประกอบสำหรับช่องเติมและท่อส่งก๊าซของถังหมัก
ท่อพีวีซี ขนาดยาว 1 เมตร เจาะช่องกลางท่อ ขนาดกว้าง 0.5 ของท่อ และยาว 15 เซนติเมตร ตัดให้ช่องห่างจากปากท่อ 32 เซนติเมตร
ข้องอเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 1 อัน
หัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 1 อัน
ส่วนประกอบสำหรับท่อนำก๊าซของถังเก็บก๊าซ
3 ทาง ขนาด 4 หุน 1 ตัว
หัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 2 อัน
ส่วนประกอบปลีกย่อยอื่นๆ
กิ๊บยึดท่อ ขนาด 1 นิ้ว 1-2 อัน
กาวซีเมนต์ (กาวแห้งเร็ว 2 หลอดคู่) 1 ชุด
กาวซิลิโคลน ชนิดใส 1 หลอด
สายยาง 3 หุน ยาว 5 เมตร 1 เส้น
วิธีการประกอบถังหมักก๊าซชีวภาพ
นำ ถังใบที่ปิดสนิทเจาะรูขนาดเท่ากับเกลียวของข้อต่อเกลียวนอก 4 หุน บริเวณที่เรียบๆ บนฝาถัง เจาะรูถังขนาดเท่าเกลียวนอกของข้อต่อตรงขนาด 1 นิ้ว เจาะบริเวณข้างถังสูงจากก้นถังประมาณ 3 นิ้ว เนื่องจากฝาถังหมักปิดสนิทต้องใช้แท่งพีวีซี ติดข้อต่อเกลียวนอก ขนาด 1 นิ้ว ไว้ที่ปลาย แล้วแยงจากช่องเติมอาหารผ่านไปติดที่ข้างถังด้านใน โดยให้ปลายเกลียวพ้นรูถังออกมา ทากาวบริเวณที่พ้นผ่านรูออกมา และทากาวที่ปากท่อข้องอเกลียวใน 1 นิ้ว จึงนำมาประกอบกัน ในส่วนของส่วนประกอบท่อน้ำล้น โดย 3 ทางตัวบน ต้องสูงได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของตัวถัง จากนั้นยึดด้วยกิ๊บยึดท่อก็เป็นอันเสร็จในส่วนท่อน้ำล้น จากนั้นนำข้องอเกลียว ขนาด 4 หุน มาทากาวที่ปากท่อหมุนเกลียวเข้ารูที่ใช้ลำเลียงก๊าซด้านบนของถังหมัก และติดหัวต่อสายเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ที่ข้องอเพื่อจะใช้ต่อสายยางต่อไป ประกอบท่อพีวีซี 3 นิ้ว ส่วนที่เป็นที่เติมวัตถุดิบด้านบนของถัง โดยหย่อนลงในถังด้านบนที่เจาะรูไว้ หันช่องเติมที่เจาะเข้าด้านในถัง ทากาวขอบท่อให้ทั่วเพื่อกันอากาศเข้า
วิธีการประกอบถังเก็บก๊าซชีวภาพ
เจาะ รูที่ก้นถังพลาสติคขนาด 120 ลิตร 1 รู ขนาดเท่ากับเกลียวของข้องอเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ติด 3 ทาง ขนาด 4 หุน ที่ก้นถังด้านนอกอัดกาวให้ทั่ว ใช้เกลียวหมุนให้แน่น ต่อหัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ทั้ง 2 ด้าน ของรู 3 ทาง จากนั้นต่อสายยาง ขนาด 3 หุน เข้าหาถังหมัก และถังเก็บก๊าซความยาวตามต้องการ
การใช้งานถังหมักก๊าซชีวภาพ
วัตถุดิบ
1. มูลสัตว์
2. น้ำ
3. เศษอาหาร
ขั้นตอนการหมักก๊าซชีวภาพ
นำมูลสัตว์แห้งหรือเปียกผสมกับน้ำแล้วใส่ลงไปในถังหมักปริมาตร 25 เปอร์เซ็นต์ของตัวถัง ใช้ท่อพีวีซี กระทุ้งให้มูลสัตว์กระจายตัวให้ทั่วถึง หมักมูลสัตว์ที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในถังประมาณ 10-15 วัน หลังจากนั้น เติมน้ำลงไปให้ถึงระดับ 75 เปอร์เซ็นต์ของถัง ซึ่งจะอยู่ที่ระดับน้ำล้นของถัง แล้วจึงสามารถเติมเศษอาหารหรือมูลสัตว์เพื่อผลิตก๊าซต่อไปได้ ในระยะแรกเติมวัตถุดิบแต่น้อยทุกวันที่มีการใช้ก๊าซประมาณ 1-2 กิโลกรัม แต่ไม่ควรเกิน 4 กิโลกรัม ต่อวัน เมื่อใช้ไปนานๆ สามารถเติมได้มากขึ้น แต่ไม่เกิน 10 กิโลกรัม เมื่อเติมลงช่องให้ใช้ท่อพีวีซี กระทุ้งขึ้น-ลงให้เศษอาหารกระจายตัว กระบวนการย่อยเพื่อผลิตก๊าซจะใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง เมื่อมีก๊าซเกิดขึ้น ชุดถังเก็บก๊าซที่คว่ำอยู่จะเริ่มลอย ก๊าซที่เกิดมาชุดแรกให้ปล่อยทิ้งก่อนเพราะจะจุดไฟไม่ติดหรือติดยาก เพราะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มาก เมื่อหมักจนเกิดก๊าซตั้งแต่ถังที่ 2 ต่อไปจึงสามารถจุดไฟใช้งานได้
การดูแลรักษา
เมื่อ ใช้งานจนถึงช่วง 7 เดือน ถึง 1 ปี ให้ปล่อยกากออกทางช่องระบาย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากเมื่อเติมมูลสัตว์หรือเศษอาหารเข้าไปแล้วไม่ค่อยล้น แสดงว่ามีเศษไปตกตะกอนอุดตัน หรือดูได้จากอัตราการเกิดก๊าซน้อยลง แสดงว่ามีการอุดตันเช่นเดียวกัน ไม่ควรใส่เศษอาหารเปรี้ยวในถังหมักเพราะจะทำให้แบคทีเรียไม่ทำงาน เนื่องจากค่าความเป็นกรดด่างไม่เหมาะสม ในถังเมื่อมีค่ากรดเกินไปจะสังเกตได้จากการเกิดก๊าซน้อย และพยายามอย่าให้ถังกระทบกระเทือนมากเพราะกาวจะกะเทาะออกได้จนเกิดการรั่ว เมื่อเกิดก๊าซให้ตรวจสอบรอยรั่วและสามารถใช้กาวทาซ่อมได้
ข้อเด่นของ ก๊าซแอลพีจี ที่เราใช้กันอยู่จนเคยชินคือ เรื่องแรงดันของก๊าซ ความร้อนของไฟ และการที่สามารถบรรจุในถังก๊าซได้ ซึ่งก๊าซชีวภาพที่เราผลิตจากมูลสัตว์และเศษอาหารในชุดถังหมักนี้จะมีแรงดัน ต่ำกว่าก๊าซแอลพีจี จึงต้องมีการปรับรูเตาแก๊สให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือใช้วิธีเพิ่มน้ำหนักกดทับด้านบนของถังเก็บก๊าซหรือทำโครงเหล็กกดถังเก็บ ก๊าซ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดแรงดันก๊าซชีวภาพที่มากขึ้น
คุณลุงเสาร์ และคุณลุงเจริญ แห่งตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมืองพะเยา พูดถึงเรื่องก๊าซว่า นับวันก๊าซแอลพีจี มีแต่ราคาจะแพงขึ้น แหล่งก๊าซธรรมชาติก็เริ่มหมดไป ชีวิตในเมืองที่ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างเช่น ไม้ที่จะนำมาเผาถ่านก็มีน้อย การพึ่งก๊าซธรรมชาติจากถังบรรจุที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปอย่างเดียวก็คงเป็นทาง เลือกที่บั่นทอนค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เพราะไม่สามารถควบคุมราคาได้ การนำทางเลือกอื่น อย่างเช่น ก๊าซชีวภาพมาใช้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้พึ่งตนเองได้ เปลี่ยนขยะ หรือมูลสัตว์ ที่หากทิ้งไว้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อน สู้นำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนใช้ในครัวเรือน
เป็นการแก้ปัญหาในหลายๆ สิ่ง เมื่อหมักเสร็จแล้วเศษที่เหลือก็สามารถนำไปเป็นปุ๋ยให้กับแปลงพืช หรือหญ้าที่ปลูกไว้อีกด้วย
คุณ ลุงทั้งสองคนบอกว่า ยังอยากจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนที่มีแนวทางเดียวกัน สนใจจะมาดูของจริงเชิญที่บ้านได้เลย หรือใครที่ทำได้ดีกว่านี้คุณลุงทั้งสองบอกว่า ขอช่วยส่งข่าวให้ด้วยเพื่อจะได้ตามไปดูแล้วนำมาปรับปรุงของพวกเรา หากจะโทรศัพท์คุยกันเชิญที่โทร. (054) 423-228
การุณย์ มะโนใจ
วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 21 ฉบับที่ 442
เชื้อเพลิงที่เราใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่ก็คือ ก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซแอลพีจี เป็นก๊าซที่ได้จากธรรมชาติ เป็นผลผลิตจากปิโตรเคมี ที่เราทราบกันดีแล้วว่าเริ่มขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ประเทศไทยจะมีแหล่งก๊าซธรรมชาติของเราเอง แต่ก็มีอยู่ไม่มาก ทุกวันนี้เราเองต้องสั่งซื้อก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาใช้กันแล้ว สภาวการณ์เช่นนี้ ก๊าซชีวภาพน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางหนึ่ง ที่เราน่าจะเริ่มนำมาใช้กันอย่างจริงจัง นับแต่วันนี้ เพราะสามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในการหุงต้มแทนก๊าซแอลพีจี ได้อย่างสบาย
ก๊าซชีวภาพที่ผลิตขึ้นจากการหมักมูลสัตว์ มูลคน และขยะเหลือทิ้งที่ย่อยสลายได้จากครัวเรือนและชุมชน โดยการหมักในสภาพแวดล้อม เช่น ถังหมักหรือบ่อที่ไร้อากาศ จุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะเปลี่ยนอินทรียวัตถุเหล่านี้ให้กลายเป็น ก๊าซชีวภาพที่มีคุณสมบัติติดไฟ สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานให้ความร้อน ใช้หุงต้ม ให้แสงสว่าง หรือใช้เดินเครื่องจักรเครื่องยนต์ได้
ส่วนใหญ่การทำบ่อหมักก๊าซชีวภาพของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ก็เพื่อแก้ปัญหามูลสัตว์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งกลิ่นเหม็น และส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม ได้ก๊าซชีวภาพเป็นผลพลอยได้ ในปัจจุบันก๊าซธรรมชาติกำลังขาดแคลนและมีราคาสูง ก๊าซชีวภาพจึงน่าจะกลับมามีบทบาทที่สำคัญในการแก้ปัญหาในเรื่องพลังงาน ถังหมักหรือบ่อหมักก๊าซชีวภาพมีหลายรูปแบบ และหลายขนาด ตั้งแต่ถังขนาดเล็กที่สามารถทำใช้เองในครัวเรือน ไปจนถึงบ่อถาวรขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นใช้ในชุมชน แต่ที่สำคัญเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพนี้มีข้อดีที่ทุกคนสามารถทำขึ้นใช้เอง ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น รวมทั้งแก้ไขปัญหาขยะที่มีมากขึ้นจนเป็นปัญหาให้ลดลง จึงช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมไปในตัว รวมทั้งได้ผลพลอยได้ที่เป็นปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพที่สามารถนำไปใช้เป็น ปุ๋ยปลูกพืชปลอดสารเคมีได้เป็นอย่างดี
คุณลุงเสาร์แก้ว ใจบาล อยู่บ้านเลขที่ 139 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมืองพะเยา และ คุณลุงเจริญ คำโล อยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่บ้านเดียวกัน อ่านเจอจากหนังสือ ก็ใคร่ครวญตรึกตรองกันอยู่นาน คิดอยู่ว่ามันจะเกิดก๊าซจริงหรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย ไม่ลองก็ไม่รู้ เลยตัดสินใจชวนกันทำดู ไปซื้อวัสดุ ซึ่งประกอบไปด้วย
ส่วนประกอบของถังหมักและถังเก็บก๊าซชีวภาพ
ถังพลาสติคปิดฝา ขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ใบ ทำหน้าที่ในการบรรจุมูลสัตว์และเศษอาหารเพื่อย่อยสลายจนเกิดก๊าซ โดยมีช่องใส่วัตถุดิบ ท่อน้ำล้นเพื่อควบคุมปริมาตรภายใน และท่อระบาย ด้านบนจะมีสายยางต่อเพื่อลำเลียงก๊าซที่ผลิตได้ไปสู่ถังเก็บ
ถังพลาสติคเปิดฝาบน ขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ใบ เป็นถังเก็บก๊าซถังหงาย โดยจะตั้งหงายเพื่อบรรจุน้ำสำหรับเป็นตัวกันไม่ให้ก๊าซรั่วออกนอกถังเก็บ ถังจะตั้งหงายเพื่อให้ถังใบเล็กอีกถังครอบ ในส่วนของคุณลุงเสาร์แก้ว ดัดแปลงใช้วงบ่อซีเมนต์ ขนาด 80 เซนติเมตร 2 วง ฉาบปูนแทน
ถังพลาสติคเปิดฝาบน ขนาด 120 ลิตร จำนวน 1 ใบ เป็นถังเก็บก๊าซถังคว่ำ โดยจะตั้งคว่ำลงภายในถังเก็บก๊าซ ขนาด 200 ลิตร หรือวงบ่อที่ใส่น้ำ ทำหน้าที่เป็นตัวกักก๊าซไว้โดยตัวถังจะลอยขึ้นเมื่อก๊าซถูกลำเลียงมาจากถัง หมัก ด้านบนจะมีท่อลำเลียงก๊าซไปจุดใช้งานต่อไป ก่อนจะเริ่มใช้งานให้ใส่น้ำลงไปในถังใบที่ 2 ถังเก็บก๊าซถังหงายให้เต็ม แล้วสวมถังใบที่ 3 หรือถังเก็บก๊าซถังคว่ำลงในถังใบที่ 2 ให้จมลงไปในน้ำพอดีก้นถัง ต่อสายยางจากถังหมักมายังถังเก็บก๊าซ และต่อสายยางจากถังเก็บก๊าซไปยังเตาแก๊สเพื่อไว้ใช้งานต่อไป
ส่วนประกอบสำหรับท่อน้ำล้นและท่อระบายของถังหมักก๊าชชีวภาพ
ข้อต่อเกลียวนอก ขนาด 1 นิ้ว 1 อัน
ข้องอเกลียวใน ขนาด 1 นิ้ว
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดยาว 2 นิ้ว 1 อัน
3 ทาง ขนาด 1 นิ้ว 2 อัน
ฝาปิดพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว 1 อัน
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดประมาณ 40 เซนติเมตร 1 อัน
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดประมาณ 30 เซนติเมตร 1 อัน
ส่วนประกอบสำหรับช่องเติมและท่อส่งก๊าซของถังหมัก
ท่อพีวีซี ขนาดยาว 1 เมตร เจาะช่องกลางท่อ ขนาดกว้าง 0.5 ของท่อ และยาว 15 เซนติเมตร ตัดให้ช่องห่างจากปากท่อ 32 เซนติเมตร
ข้องอเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 1 อัน
หัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 1 อัน
ส่วนประกอบสำหรับท่อนำก๊าซของถังเก็บก๊าซ
3 ทาง ขนาด 4 หุน 1 ตัว
หัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 2 อัน
ส่วนประกอบปลีกย่อยอื่นๆ
กิ๊บยึดท่อ ขนาด 1 นิ้ว 1-2 อัน
กาวซีเมนต์ (กาวแห้งเร็ว 2 หลอดคู่) 1 ชุด
กาวซิลิโคลน ชนิดใส 1 หลอด
สายยาง 3 หุน ยาว 5 เมตร 1 เส้น
วิธีการประกอบถังหมักก๊าซชีวภาพ
นำ ถังใบที่ปิดสนิทเจาะรูขนาดเท่ากับเกลียวของข้อต่อเกลียวนอก 4 หุน บริเวณที่เรียบๆ บนฝาถัง เจาะรูถังขนาดเท่าเกลียวนอกของข้อต่อตรงขนาด 1 นิ้ว เจาะบริเวณข้างถังสูงจากก้นถังประมาณ 3 นิ้ว เนื่องจากฝาถังหมักปิดสนิทต้องใช้แท่งพีวีซี ติดข้อต่อเกลียวนอก ขนาด 1 นิ้ว ไว้ที่ปลาย แล้วแยงจากช่องเติมอาหารผ่านไปติดที่ข้างถังด้านใน โดยให้ปลายเกลียวพ้นรูถังออกมา ทากาวบริเวณที่พ้นผ่านรูออกมา และทากาวที่ปากท่อข้องอเกลียวใน 1 นิ้ว จึงนำมาประกอบกัน ในส่วนของส่วนประกอบท่อน้ำล้น โดย 3 ทางตัวบน ต้องสูงได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของตัวถัง จากนั้นยึดด้วยกิ๊บยึดท่อก็เป็นอันเสร็จในส่วนท่อน้ำล้น จากนั้นนำข้องอเกลียว ขนาด 4 หุน มาทากาวที่ปากท่อหมุนเกลียวเข้ารูที่ใช้ลำเลียงก๊าซด้านบนของถังหมัก และติดหัวต่อสายเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ที่ข้องอเพื่อจะใช้ต่อสายยางต่อไป ประกอบท่อพีวีซี 3 นิ้ว ส่วนที่เป็นที่เติมวัตถุดิบด้านบนของถัง โดยหย่อนลงในถังด้านบนที่เจาะรูไว้ หันช่องเติมที่เจาะเข้าด้านในถัง ทากาวขอบท่อให้ทั่วเพื่อกันอากาศเข้า
วิธีการประกอบถังเก็บก๊าซชีวภาพ
เจาะ รูที่ก้นถังพลาสติคขนาด 120 ลิตร 1 รู ขนาดเท่ากับเกลียวของข้องอเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ติด 3 ทาง ขนาด 4 หุน ที่ก้นถังด้านนอกอัดกาวให้ทั่ว ใช้เกลียวหมุนให้แน่น ต่อหัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ทั้ง 2 ด้าน ของรู 3 ทาง จากนั้นต่อสายยาง ขนาด 3 หุน เข้าหาถังหมัก และถังเก็บก๊าซความยาวตามต้องการ
การใช้งานถังหมักก๊าซชีวภาพ
วัตถุดิบ
1. มูลสัตว์
2. น้ำ
3. เศษอาหาร
ขั้นตอนการหมักก๊าซชีวภาพ
นำมูลสัตว์แห้งหรือเปียกผสมกับน้ำแล้วใส่ลงไปในถังหมักปริมาตร 25 เปอร์เซ็นต์ของตัวถัง ใช้ท่อพีวีซี กระทุ้งให้มูลสัตว์กระจายตัวให้ทั่วถึง หมักมูลสัตว์ที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในถังประมาณ 10-15 วัน หลังจากนั้น เติมน้ำลงไปให้ถึงระดับ 75 เปอร์เซ็นต์ของถัง ซึ่งจะอยู่ที่ระดับน้ำล้นของถัง แล้วจึงสามารถเติมเศษอาหารหรือมูลสัตว์เพื่อผลิตก๊าซต่อไปได้ ในระยะแรกเติมวัตถุดิบแต่น้อยทุกวันที่มีการใช้ก๊าซประมาณ 1-2 กิโลกรัม แต่ไม่ควรเกิน 4 กิโลกรัม ต่อวัน เมื่อใช้ไปนานๆ สามารถเติมได้มากขึ้น แต่ไม่เกิน 10 กิโลกรัม เมื่อเติมลงช่องให้ใช้ท่อพีวีซี กระทุ้งขึ้น-ลงให้เศษอาหารกระจายตัว กระบวนการย่อยเพื่อผลิตก๊าซจะใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง เมื่อมีก๊าซเกิดขึ้น ชุดถังเก็บก๊าซที่คว่ำอยู่จะเริ่มลอย ก๊าซที่เกิดมาชุดแรกให้ปล่อยทิ้งก่อนเพราะจะจุดไฟไม่ติดหรือติดยาก เพราะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มาก เมื่อหมักจนเกิดก๊าซตั้งแต่ถังที่ 2 ต่อไปจึงสามารถจุดไฟใช้งานได้
การดูแลรักษา
เมื่อ ใช้งานจนถึงช่วง 7 เดือน ถึง 1 ปี ให้ปล่อยกากออกทางช่องระบาย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากเมื่อเติมมูลสัตว์หรือเศษอาหารเข้าไปแล้วไม่ค่อยล้น แสดงว่ามีเศษไปตกตะกอนอุดตัน หรือดูได้จากอัตราการเกิดก๊าซน้อยลง แสดงว่ามีการอุดตันเช่นเดียวกัน ไม่ควรใส่เศษอาหารเปรี้ยวในถังหมักเพราะจะทำให้แบคทีเรียไม่ทำงาน เนื่องจากค่าความเป็นกรดด่างไม่เหมาะสม ในถังเมื่อมีค่ากรดเกินไปจะสังเกตได้จากการเกิดก๊าซน้อย และพยายามอย่าให้ถังกระทบกระเทือนมากเพราะกาวจะกะเทาะออกได้จนเกิดการรั่ว เมื่อเกิดก๊าซให้ตรวจสอบรอยรั่วและสามารถใช้กาวทาซ่อมได้
ข้อเด่นของ ก๊าซแอลพีจี ที่เราใช้กันอยู่จนเคยชินคือ เรื่องแรงดันของก๊าซ ความร้อนของไฟ และการที่สามารถบรรจุในถังก๊าซได้ ซึ่งก๊าซชีวภาพที่เราผลิตจากมูลสัตว์และเศษอาหารในชุดถังหมักนี้จะมีแรงดัน ต่ำกว่าก๊าซแอลพีจี จึงต้องมีการปรับรูเตาแก๊สให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือใช้วิธีเพิ่มน้ำหนักกดทับด้านบนของถังเก็บก๊าซหรือทำโครงเหล็กกดถังเก็บ ก๊าซ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดแรงดันก๊าซชีวภาพที่มากขึ้น
คุณลุงเสาร์ และคุณลุงเจริญ แห่งตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมืองพะเยา พูดถึงเรื่องก๊าซว่า นับวันก๊าซแอลพีจี มีแต่ราคาจะแพงขึ้น แหล่งก๊าซธรรมชาติก็เริ่มหมดไป ชีวิตในเมืองที่ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างเช่น ไม้ที่จะนำมาเผาถ่านก็มีน้อย การพึ่งก๊าซธรรมชาติจากถังบรรจุที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปอย่างเดียวก็คงเป็นทาง เลือกที่บั่นทอนค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เพราะไม่สามารถควบคุมราคาได้ การนำทางเลือกอื่น อย่างเช่น ก๊าซชีวภาพมาใช้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้พึ่งตนเองได้ เปลี่ยนขยะ หรือมูลสัตว์ ที่หากทิ้งไว้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อน สู้นำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนใช้ในครัวเรือน
เป็นการแก้ปัญหาในหลายๆ สิ่ง เมื่อหมักเสร็จแล้วเศษที่เหลือก็สามารถนำไปเป็นปุ๋ยให้กับแปลงพืช หรือหญ้าที่ปลูกไว้อีกด้วย
คุณ ลุงทั้งสองคนบอกว่า ยังอยากจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนที่มีแนวทางเดียวกัน สนใจจะมาดูของจริงเชิญที่บ้านได้เลย หรือใครที่ทำได้ดีกว่านี้คุณลุงทั้งสองบอกว่า ขอช่วยส่งข่าวให้ด้วยเพื่อจะได้ตามไปดูแล้วนำมาปรับปรุงของพวกเรา หากจะโทรศัพท์คุยกันเชิญที่โทร. (054) 423-228
การุณย์ มะโนใจ
วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 21 ฉบับที่ 442
วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ระบบทางเดินอาหาร
ระบบหายใจ
มนุษย์ทุกคนต้องหายใจเพื่อมีชีวิตอยู่ การหายใจเข้า อากาศผ่านไปตามอวัยวะของระบบหายใจตามลำดับ ดังนี้1.จมูก (Nose)
จมูกส่วนนอกเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตรงกึ่งกลางของใบหน้า รูปร่างของจมูกมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด ฐานของรูปสามเหลี่ยมวางปะ ติดกับหน้าผากระหว่างตาสองข้าง สันจมูกหรือดั้งจมูก มีรูปร่างและขนาดต่างๆกัน ยื่นตั้งแต่ฐานออกมาข้างนอกและลงข้างล่างมาสุดที่ปลายจมูก อีกด้านหนึ่งของรูปสามเหลี่ยมห้อยติดกับริมฝีปากบนรู จมูกเปิดออกสู่ภายนกทางด้านนี้ รูจมูกทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศที่หายใจเข้าไปยังช่องจมูกและกรองฝุ่นละอองด้วย
2. หลอดคอ (Pharynx)
เมื่ออากาศผ่านรูจมูกแล้วก็ผ่านเข้าสู่หลอดคอ ซึ่งเป็นหลอดตั้งตรงยาวประมาณยาวประมาณ 5 " หลอดคอติดต่อทั้งช่องปากและช่องจมูก จึงแบ่งเป็นหลอดคอส่วนจมูก กับ หลอดคอส่วนปาก โดยมีเพดานอ่อนเป็นตัวแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน โครงของหลอดคอประกอบด้วยกระดูกอ่อน 9 ชิ้นด้วยกัน ชิ้นที่ใหญ่ทีสุด คือกระดูกธัยรอยด์ ที่เราเรียกว่า "ลูกกระเดือก" ในผู้ชายเห็นได้ชัดกว่าผู้หญิง
3. หลอดเสียง (Larynx)
เป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผู้ชาย และ 3.5 cm ในผู้หญิง หลอดเสียงเจริญเติยโตขึ้นมาเรื่อยๆ ตามอายุ ในวัยเริ่มเป็นหนุ่มสาว หลอดเสียงเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้ชาย เนื่องจากสายเสียง (Vocal cord) ซึ่งอยู่ภายในหลอดเสียงนี้ยาวและหนาขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จึงทำให้เสียงแตกพร่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากฮอร์โมนของเพศชาย
4. หลอดลม (Trachea)
เป็นส่วนที่ต่ออกมาจากหลอดเสียง ยาวลงไปในทรวงอก ลักษณะรูปร่างของหลอดลมเป็นหลอดกลมๆ ประกอบด้วยกระดูกอ่อนรูปวงแหวน หรือรูปตัว U ซึ่งมีอยู่ 20 ชิ้น วางอยู่ทางด้านหลังของหลอดลม ช่องว่าง ระหว่างกระดูกอ่อนรูปตัว U ที่วางเรียงต่อกันมีเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อเรียบมายึดติดกัน การที่หลอดลมมีกระดูกอ่อนจึงทำให้เปิดอยู่ตลอดเวลา ไม่มีโอกาสที่จะแฟบเข้าหากันได้โดยแรงดันจากภายนอก จึงรับประกันได้ว่าอากาศเข้าได้ตลอดเวลา หลอดลม ส่วนที่ตรงกับกระดูกสันหลังช่วงอกแตกแขนงออกเป็นหลอดลมแขนงใหญ่ (Bronchi) ข้างซ้ายและขวา เมื่อเข้าสู่ปอดก็แตกแขนงเป็นหลอดลมเล็กในปอดหรือที่เรียกว่า หลอดลมฝอย (Bronchiole) และไปสุดที่ถุงลม (Aveolus) ซึ่งเป็นการที่อากาศอยู่ ใกล้กับเลือดในปอดมากที่สุด จึงเป็นบริเวณแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน กับคาร์บอนไดออกไซด์
5. ปอด (Lung)
ปอดมีอยู่สองข้าง วางอยู่ในทรวงอก มีรูปร่างคล้ายกรวย มีปลายหรือยอดชี้ขึ้นไปข้างบนและไปสวมพอดีกับช่องเปิดแคบๆของทรวงอก ซึ่งช่องเปิดแคบๆนี้ประกอบขึ้นด้วยซี่โครงบนของกระดูกสันอกและกระดูกสันหลัง ฐานของปอดแต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระบังลม
ระหว่างปอด 2 ข้าง จะพบว่ามีหัวใจอยู่ ปอดข้างขวาจะโตกว่าปอดข้างซ้ายเล็กน้อย และมีอยู่ 3 ก้อน ส่วนข้างซ้ายมี 2 ก้อน
หน้าที่ของปอดคือ การนำก๊าซ CO2 ออกจากเลือด และนำออกซิเจนเข้าสู่เลือด ปอดจึงมีรูปร่างใหญ่ มีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายฟองน้ำ
6. เยื่อหุ้มปอด (Pleura)
เป็นเยื่อที่บางและละเอียดอ่อน เปียกชื้น และเป็นมันลื่น หุ้มผิวภายนอกของปอด เยื่อหุ้มนี้ ไม่เพียงคลุมปอดเท่านั้น ยังไปบุผิวหนังด้านในของทรวงอกอีก หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า เยื่อหุ้มปอดซึ่งมี 2 ชั้น ระหว่าง 2 ชั้นนี้มี ของเหลวอยู่นิดหน่อย เพื่อลดแรงเสียดสี ระหว่างเยื่อหุ้มมีโพรงว่าง เรียกว่าช่องระหว่างเยื่อหุ้มปอด
กระบวนการในการหายใจ
ในการหายใจนั้นมีโครงกระดูกส่วนอกและ กล้ามเนื้อบริเวณอกเป็นตัวช่วยขณะหายใจเข้า กล้าม เนื้อหลายมัดหดตัวทำให้ทรวงอกขยายออกไปข้างหน้า และยกขึ้นบน ในเวลาเดียวกันกะบังลมจะลดต่ำลง การกระทำทั้งสองอย่างนี้ทำให้โพรงของทรวงอกขยาย ใหญ่มากขึ้น เมื่อกล้ามเนึ้อหยุดทำงานและหย่อนตัวลง ทรวงอกยุบลงและความดันในช่องท้องจะดันกะบังลม กลับขึ้นมาอยู่ในลักษณะเดิม กระบวนการเข่นนี้ทำให้ ความดันในปอดเพิ่มขึ้น เมื่อความดันในปอดเพิ่มขึ้นสูง กว่าความดันของบรรยากาศ อากาศจะถูกดันออกจาก ปอด ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า ปัจจัยประการแรกที่ทำให้ อากาศมีการเคลื่อนไหวเข้าออกจากปอดได้นั้น เกิด จากความดันที่แตกต่างกันนั่นเอง
การแลกเปลี่ยนก๊าซและการใช้ออกซิเจน
เมื่อเราหายใจเข้า อากาศภายนอกเข้าสู่อวัยวะ ของระบบหายใจไปยังถุงลมในปอด ที่ผนังของถุงลมมีหลอดเลือดแดงฝอยติดอยู่ ดังนั้นอากาศจึงมีโอกาสใกล้ชิดกับเม็ดเลือดแดงมากออกชิเจนก็จะผ่านผนังนี้เข้าสู่เม็ดเลือดแดง และคาร์บอนไดออกไชด์ก็จะออกจากเม็ดเลือดผ่านผนังออกมาสู่ถุงลม ปกติในอากาศมีออกชิเจนร้อยละ 20 แต่อากาศที่เราหายใจมีออกขิเจนร้อยละ 13
ระบบหายใจ ระบบหายใจมนุษย์ ระบบทางเดินหายใจ คืออะไร ความรู้ บทความ ความรู้รอบโลก รู้ไว้ใช้ว่า เชื่อหรือไม่ว่า Article
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ประวัติต้นไผ่
ไผ่
อาณาจักร | Plantae |
ส่วน | Magnoliophyta |
ชั้น | Liliopsida |
อันดับ | Poales |
วงศ์ | Poaceae |
วงศ์ย่อย | Bambusoideae |
เผ่าใหญ่ | Bambusodae |
เผ่า | Bambuseae Kunth ex Dumort |
กลุ่มยากัน หรือ แก้เลือดออกตามไรฟัน
กลุ่มยากัน หรือ แก้เลือดออกตามไรฟัน | |||
มะละกอ | |||
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carica papaya L. | |||
ชื่อสามัญ : Papaya, Pawpaw, Tree melon | |||
วงศ์ : Caricaceae | |||
ชื่ออื่น : มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ) หมักหุ่ง (ลาว,นครราชสีมา,เลย) ลอกอ (ภาคใต้) กล้วยลา (ยะลา) แตงต้น (สตูล) | |||
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 3-6 เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลออกขาว ลำต้นตรง ไม่มีแก่น แตกกิ่งก้านน้อย มีรอยแผลใบชัดเจน มียางขาวข้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรอบต้นหนาแน่นที่ปลายยอด ใบรูปฝ่ามือ ขนาด 80-120 ซม. ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึกถึงแกนก้าน ก้านใบเป็นหลอด กลมกลวงยาว 25-100 ซม. ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อยาวห้อยลง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ดอกเพศเมียสีขาว ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกมีขนาดใหญ่ กว่าดอกเพศผู้ ผล รูปกระสวย ผิวเรียบ เปลือกบาง มียางสีขาว ผลสดสีเขียวเข้ม พอสุกเปลี่ยนเป็นสีส้ม รับประทานได้ มีเมล็ดมาก เมล็ดกลม สีดำ มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีขาวใส ส่วนที่ใช้ : ผลสุก ผลดิบ ยางจากผลหรือจากก้านใบ ราก | |||
สรรพคุณ :
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ข้อควรระวัง : สำหรับผู้ที่รับประทานมะละกอสุกติดต่อกันเป็นจำนวนมาก เป็นเวลานาน อาจทำให้สารมีสีพวก carotenoid ไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ทำให้ผิวมีสีเหลือง สารเคมี :
| |||
ประวัติมะละกอ
มะละกอ (Papaya)
มะละกอ ชื่อวิทยาศาสตร์: Carica papyya L. ชื่อวงศ์: CARICACEAE ชื่อสามัญ: Papaya. ชื่อท้องถิ่น: มะก๊วยเต็ด ก๊วยเท็ด
ลักษณะทั่วไปของมะละกอ สามารถเจริญเติบโ๋ตได้ดีในทุกสภาพภูมิอากาศ ดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขัง มีความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.0-6.8 มะละกอใช้ผลบริโภคทั้งผลดิบและผลสุก
ลักษณะทั่วไปของมะละกอ สามารถเจริญเติบโ๋ตได้ดีในทุกสภาพภูมิอากาศ ดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ท่วมขัง มีความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 6.0-6.8 มะละกอใช้ผลบริโภคทั้งผลดิบและผลสุก
การเตรียมดินเพาะกล้ามะละกอ
โดยการใช้ดิน ที่มีส่วนผสมดังนี้ ดินร่วน 3 บุ้งกี๋ ปุ๋ยคอก, ขี้เถ้าแกลบ, ทรายหยาบ อัตราส่วน 1:1:1 ผสมคลุกเคล้าให้เข้ัากัน แล้วนำ มากรอกลงในถุงพลาสติกขนาด 4×6 หรือ 4×4 นิ้ว ให้เต็ม รดน้ำดินในถุงให้ชุ่ม นำเมล็ดพันธุ์มาหยอดลงในถุง ถุงละ 1-2 เมล็ด รดน้ำให้ชุ่มดูแลรักษารดน้ำทุกวัน หลังเมล็ดเริ่มงอกแล้วดูแลรักษาต้นกล้าประมาณ 30 วัน ก็สามารถย้ายปลูกในหลุมปลูกได้
การเตรียมแปลงปลูกมะละกอ
มะละกอ เป็นพืชที่มีระบบรากลึกและกว้าง ทำหลุมปลูกระยะห่างระหว่างแถว 2-2.5 เมตร ระหว่างต้น 2 เมตร ตีหลุมลึก 0.5 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมี 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนแกงต่อหลุม ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้ว ทับบนปุ๋ยเคมี นำต้นกล้ามะละกอ ลงปลูกในหลุมกลบโคนเล็กน้อยแล้วรดน้ำให้ชุ่ม หลังปลูกเสร็จให้ทำหลักเพื่อยึดลำต้นไม่ให้โยกขณะลมพัด
การดูแลรักษามะละกอ
- การใ้ห้ปุ๋ย
- ให้ปุ๋ย 15-15-15 หลุมละ 1 ช้อนแกง ทุก 30 วัน
- ให้ปุ๋ย 14-14-21 หลังติดดอกออกผลแล้ว อัตรา 1ช้อนแกง/ต้น/หลุม หรือจะใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์น้อยลงก็ได้ - การให้น้ำ เนื่องจากมะละกอเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อย แต่อย่าให้ขาดน้ำ เพราะจะทำให้ต้นแคระแกรน ไม่ติดดอกออกผล การให้น้ำอย่าให้มากเกินไป ถ้าน้ำท่วมขังนาน 1-2 วัน ต้นมะละกอจะเหลืองและตายในที่สุด
- การพรวนดินกำจัดวัชพืช ควรมีการพรวนดินกำจัดวัชพืชในช่วงแรก อย่าให้วัชพืชรบกวน
- การทำไม้หลัก เพื่อค้ำยันพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม โดยเฉพาะช่วงติดผล
การเก็บเกี่ยว
มะละกอ ถ้าเก็บผลดิบสามารถเก็บได้หลังปลูกประมาณ 5-6 เดือน แต่ถ้าเก็บผลสุกหลังจากปลูกประมาณ 8-10 เดือน ถึงสามาถเก็บเกี่ยวได้ ให้เลือกเก็บเกี่ยวผลที่กำลังเริ่มสุกมีสีแต้มสีส้มปนเขียวนิดๆ ผลยังไม่นิ่ม
กลุ่มยาขับน้ำนม
กลุ่มยาขับน้ำนม |
กล้วยน้ำว้า |
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Musa ABB cv. Kluai 'Namwa' |
ชื่อสามัญ : Banana |
วงศ์ : Musaceae |
ชื่ออื่น : กล้วยมะลิอ่อง (จันทบุรี) กล้วยใต้ (เชียงใหม่, เชียงราย) กล้วยอ่อง (ชัยภูมิ) กล้วยตานีอ่อง (อุบลราชธานี) |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : หัวปลี เนื้อกล้วยน้ำว้าดิบ หรือห่าม กล้วยน้ำว้าสุกงอม ราก ต้น ใบ ยางจากใบไม้ล้มลุก สูงประมาณ 3.5 เมตร ลำต้นสั้นอยู่ใต้ดิน กาบเรียงเวียนซ้อนกันเป็นลำต้นเทียม สีเขียวอ่อน ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน กว้าง 25-40 ซม. ยาว 1-2 เมตร ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ด้านล่างมีนวลสีขาว เส้นใบขนานกันในแนวขวาง ก้านใบเป็นร่องแคบ ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอดห้อยลง เรียกว่า หัวปลี มีใบประดับขนาดใหญ่หุ้มสีแดงเข้ม เมื่อบานจะม้วนงอขึ้น ด้านนอกมีนวล ด้านในเกลี้ยง ผล รูปรี ยาว 11-13 ซม. ผิวเรียบ ปลายเป็นจุก เนื้อในมีสีขาว พอสุกเปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อมีรสหวาน รับประทานได้ หวีหนึ่งมี 10-16 ผล บางครั้งมีเมล็ด เมล็ดกลม สีดำ ส่วนที่ใช้ : |
สรรพคุณ :
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
สรรพคุณเด่น :
สารเคมีที่พบ :
ประโยชน์ทางยาของกล้วยหอม กล้วยหอมเป็นผลไม้ รสหวาน เย็น ไม่มีพิษ สารอาหารที่สำคัญๆ ในกล้วยหอม ได้แก่ แป้ง โปรตีน ไขมัน น้ำตาล วิตามินหลายชนิด จัดเป็นผลไม้บำรุงร่างกายดี นอกจากนี้กล้วยหอมยังสามารถใช้รักษาโรคได้หลายชนิด เช่น เป็นยาทำให้ปอดชุ่มชื่น แก้กระหาย ถอนพิษ นอกจากนี้ยังพบว่า มีฤทธิ์รักษาตามตำรับยา ดังนี้
|
การเจริญเติบโตของกล้วยและการดูแลรักษา
การเจริญเติบโตของกล้วยและการดูแลรักษา |
กล้วยเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย ดังนั้นปัญหาการปลูกกล้วยแล้วกล้วยตายจึงพบน้อยมาก หรือเกือบไม่มีเลย หลังจากชาวสวนลงหน่อกล้วยแล้ว หน่อกล้วยก็จะเจริญเติบโตไปตามลำดับ และกว่ากล้วยจะเริ่มออกปลีเพื่อให้ผลนั้น ใบกล้วยจะมีทั้งหมดประมาณ 60-70 ใบ เริ่มตั้งแต่มีเกล็ด (ใบแคบ) ประมาณ 10 ใบ ใบกว้างประมาณ 35-50 ใบ จากนั้น จึงจะเริ่มเกิดช่อดอก (ออกปลี) ซึ่งใบกล้วย 60-70 ใบนี้ค่อยๆ แห้งไปตามอายุจนเหลือ ใบที่แข็งแรงอยู่ไม่เกิน 10-50 ใบ ใบใหม่ของกล้วยแต่ละใบจะเกิดจากกลางลำต้น เมื่อใบที่เกิดและคลี่ใบกางออกเต็มที่แล้ว ใบใหม่ก็จะเกิดต่อเนื่องในทุก 7 วัน เมื่อกล้วยเริ่มเจริญเติบโต และถึงแม้ว่ากล้วยจะเจริญเติบโตได้ดีในบ้านเรา แต่ชาวสวนมืออาชีพก็จะต้องไม่ปล่อยปละละเลยให้สวนกล้วยของตนเจริญเติบโต ไปตามธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการทำสวนกล้วยในเชิงธุรกิจจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการ บำรุงรักษาให้สวนกล้วยที่ลงทุนให้ผลกำไรที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นหลังจากการปลูกกล้วยแล้ว เจ้าของสวนจะต้องบำรุงดูแลรักษาเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน คือ 1.การใช้พืชหรือวัสดุคลุมดิน เนื่องจากกล้วยเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ดังนั้นการเก็บกักน้ำใต้ดิน ให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวสวนมืออาชีพ วิธีรักษาความชุ่มชื้นของดินให้คงอยู่มีอยู่หลายวิธี นั่นคือ การปลูกพืช คลุมดินไว้รอบๆ สวน ซึ่งพืชคลุมดินนี้จะเป็นอะไรก็ได้ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มแดดรำไร ชาวสวนมีวิธีคลุมดินที่ง่ายและเป็นธรรมชาติ โดยใช้ใบตองแห้งที่ลอกออกมาจากลำต้น ตัดเป็นส่วนๆ แล้วสุ่มไว้โคนต้นกล้วยนั่นเอง 2.การกำจัดวัชพืชแบบไม่พรวนดิน โปรดจำไว้ว่า กล้วยนั้นเป็นพืชที่มีรากหาอาหารในระดับผิวดินและแผ่กระจายรอบๆ ข้างด้วยระบบรากตื้น ดังนั้นในการกำจัดวัชพืชต้องระมัดระวังอย่าใช้วิธีการพรวนดินโดยเด็ดขาด ให้ใช้วิธีถางเป็นสำคัญ 3.จำกัดปริมาณหน่อกล้วย ธรรมชาติของกล้วย เมื่อเจริญเติบโตสมบูรณ์แล้วก็จะแตกหน่ออ่อน ซึ่งหน่ออ่อนนี้วิทยาการสมัยใหม่ได้ศึกษาและได้บทสรุปแล้วว่า หากมีปริมาณมากไปก็ไม่ให้ผลดีแก่ผลผลิตของกล้วยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้วยเหตุนี้การทำลายหน่อกล้วยที่อ่อนแอหรือหน่อที่มีมากเกินไปจึงเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับชาวสวนอาชีพรุ่นใหม่ ที่จะต้องมีการกำจัดจำนวนหน่อกล้วยให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ วิธีการทำลายหน่อกล้วย ต้องทำลายหน่อในช่วงที่มีความสูงไม่เกิน 1 เมตร เพราะยังเป็นหน่อที่เล็ก เมื่อทำลายแล้วไม่กระทบกระเทือนต้นแม่ วิธีการกำจัดหน่อกล้วยมีหลายวิธี 1. การใช้เสียมขุด แล้วขุดให้ขาดจากต้นแม่ 2. ปาดหน่อด้วยมีดคม 3. ปาดหน่อแล้วคว้านเอาส่วนยอดของหน่อหรือจุดเจริญออก 4.การตัดแต่งใบกล้วย เนื่องจากใบกล้วยจะมีใบเจริญเติบโตออกมาเรื่อยๆ เมื่อใบใหม่ออกมา ใบแก่ก็จะแห้งติดลำต้น ชาวสวนจะต้องหมั่นลอกกาบ และตัดแต่งใบกล้วยที่แห้งหรือ ทำท่าว่าเป็นโรคออกเสมอๆ การตัดแต่งใบกล้วยแก่ มีหลักการว่า เมื่อใบใดแก่และแห้งเกินกว่าร้อยละ 50 แล้ว ควรควรตัดใบออก ทั้งนี้เพราะใบแก่ที่แห้งไปร้อยละ 50 นี้ไม่มีประโยชน์ ในการทำหน้าที่ปรุงอาหารแล้ว 5.การดูแลเครือกล้วย เมื่อกล้วยเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ก็เริ่มให้ผลผลิตด้วยการออกเครือติดผล เมื่อกล้วยติดผลกาบปลีจะหลุด หากกล้วยติดผลแล้วกาบปลียังไม่ยอมหลุด เจ้าของสวนจะต้องดึงกาบปลีออก มีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งสำหรับชาวสวนก็คือ เมื่อกล้วยออกผลแล้ว ก้านเกสรตัวเมียมักติดอยู่ที่ปลายผลกล้วย โดยติดแห้งดำคาผลกล้วยอยู่อย่างนั้น เกสรตัวเมียนี้จะทำให้ผลกล้วยมีตำหนิ จึงควรดึงออกเสียตั้งแต่ผลกล้วยยังเล็กๆ อยู่ เมื่อกล้วยออกจนถึงหวีสุดท้ายแล้ว ชาวสวนจะต้องตัดหัวปลีออก และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราหรือเชื้อโรคอื่นๆ ตามมา เจ้าของสวนควรฉีดยากันรา ในทันที 6.การคลุมถุงกล้วย การคลุมถุงกล้วย (Bagging) หรือที่ชาวสวนเรียกว่า ใส่กระโปรงกล้วยนี้ มีประโยชน์ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน คือ 1.ช่วยเร่งให้ผลกล้วยแก่เร็วขึ้น 2.ป้องกันแมลงและสัตว์กินกล้วย การคลุมถุงกล้วยเป็นการคลุมทั้งเครือ ซึ่งใช้ถุงพลาสติกเจาะรูกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร มีระยะห่างประมาณ 7.5 เซนติเมตร โดยปล่อยปลายถุงเปิดไว้ 7.การเก็บผลผลิตกล้วย อาจารย์ถวิล รักเหลือ ข้าราชการครูและทำสวนกล้วยจำนวนมากได้อธิบายถึงการ ดูผลกล้วยที่แก่จัด หรือยังไม่แก่ว่า กล้วยนั้นเมื่อแกจัดจะมีผลกลม หากยังเป็นเหลี่ยมอยู่แสดงว่ายังแก่ไม่เต็มที่ ทางวิชาการได้มีการจัดทำมาตรฐานความแก่ของกล้วย โดยสังเกตจากเหลี่ยมของผลกล้วย ดั้งนี้ Full หมายถึง ผลกล้วยที่แก่เต็มที่ร้อยละ 100 กล้วยที่แก่เต็มที่แบบนี้ ผลจะกลม ไม่มีเหลี่ยม Full 3/4 หมายถึง ผลที่มีเหลี่ยมแต่เหลี่ยมเหลือน้อยเต็มที ผลกล้วยลักษณะนี้แก่ประมาณร้อยละ 90 Light Full 3/4 หมายถึง ผลกล้วยที่มีเหลี่ยมเห็นได้ชัดเจน แก่ประมาณร้อยละ 80 Light 3/4 หมายถึง ผลกล้วยที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของผลที่โตเต็มที่ มีความแก่ประมาณร้อยละ 70 8.การเก็บกล้วย หลังจากตกลงกับผู้รับซื้อแล้ว เจ้าของสวนจะกำหนดวันตัดเครือกล้วย ซึ่งโดนปกติทั่วๆ ไปแล้วชาวสวนนิยมที่จะตัดเครือกล้วยในเวลาเช้า จากนั้นนำไปพักไว้ในที่ร่มใต้หลังคาเพื่อรอการจัดส่งต่อไป |
ประวัติกล้วย
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
ประวัติความเป็นมาของกล้วย |
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่ ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)